โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1973 ในเมือง คริสเตียนซุนด์ ประเทศนอร์เวย์ โดยเขาเริ่มเล่นฟุตบอลจากการเป็นงานอดิเรก โดยเขาเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้กับสโมสรเคลาเซเนนเก้น สโมสรฟุตบอลระดับดิวิชั่น 3 ของประเทศนอร์เวย์ ในปี 1989 ซึ่งในช่วงแรกเขาเล่นในทีมระดับเยาวชนของสโมสรก่อนที่ในปี 1990 จะขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ โซลชา เล่นให้กับสโมสรเคลาเซเนนเก้นในทีมชุดใหญ่ ตั้งแต่ปี 1990-1995 ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรโมลด์ สโมสรฟุตบอลในลีกสูงสุดของนอร์เวย์ ในปี 1995 โดยสถิติที่ โซลชา ลงสนามให้กับ สโมสรเคลาเซเนนเก้น นั้นทั้งหมด 109 เกม ยิงประตูไปถึง 115 ประตู
มาในปี 1995 หลังจากที่เขาได้ย้ายมาร่วมทีมกับโมลด์แล้ว โซลชา ที่ตอนนั้นมีอายุ 22 ปี สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้าไปร่วมทีมจนในที่สุด โซลชา ก็ถูกเรียกเข้าไปร่วมทีมชาตินอร์เวย์ชุดใหญ่ ในปีนั้นด้วย และด้วยฝีเท้าอันสุดยอดของเขาทำให้เป็นที่สนใจของสโมสรดังในยุโรปเป็นจำนวนมาก ในฤดูกาลนี้เขาสามารถทำประตูให้กับ โมลด์ไปทั้งหมด 31 ประตูจากการลงสนามไปทั้งสิ้น 42 นัด ซึ่งในตอนนั้นเขาได้รับฉายาว่า อลัน เชียร์เรอร์ แห่งนอร์เวย์
ในปี 1996 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งในตอนนั้นมี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้จัดการทีม ตัดสินใจคว้าตัว โซลชา ในวัย 23 ปี เข้ามาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ และเพียงฤดูกาลเดียวในการเข้ามาร่วมทีมของเขา ก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ และกลายเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1996-1997 ได้สำเร็จ และนอกจากนี้โซลชาก็ยังครองดาวซัลโวสูงสุดของทีมได้อีกด้วย โดยเขาสามารถไปถึง 19 ประตู จากการลงสนาม 46 นัดในทุกรายการ
จากการโชว์ฝีเท้าอันยอดเยี่ยมและผลงานที่โซลชาได้ทำให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เขากลายมาเป็นขวัญใจของแฟนบอลได้อย่างรวดเร็ว และได้มีการตั้งฉายาให้เขาว่า เพชฌฆาตหน้าทารก
มาในฤดูกาล 1997-1998 โซลชา ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นของเขาให้ดีเหมือนฤดูกาลก่อนได้ ทำให้จบฤดูกาลเขาทำประตูได้เพียง 9 ประตู จากการลงสนาม 30 นัดในทุกรายการ และด้วยฟอร์มการเล่นของโซลชา ที่ไม่แน่นอน ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมในตอนนั้น ต้องตัดสินใจ ซื้อตัว ดไวท์ ยอร์ค เข้ามาช่วยเสริมทัพในแนวรุกให้กับทีม ในช่วงฤดูกาล 1998-1999 และการเข้ามาของ ดไวท์ ยอร์ค ทำให้ โซลชา ต้องลงไปนั่งม้านั่งสำรอง และมีข่าวลือออกมาว่า โซลชา จะมีการย้ายทีมให้เร็ววันนี้ แต่เขาก็ยังไม่ลดความพยายาม เขายังคงตั้งใจและมุ่งมั่นในการเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง และในที่สุดความมุ่งมั่นตั้งใจของเขาก็เริ่มเห็นผล เมื่อเขาเริ่มกลับมาเป็นตัวจริงได้บ่อยขึ้น และยังสามารถทำผลงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรองในเกมนั้น โดยเขากลายเป็นนักเตะที่สามารถทำประตูในเกมสำคัญๆ ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เสมอ ในปี 1999 เขาลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับลิเวอร์พูล ซึ่งในตอนนั้น เสมอกันอยู่ที่ 1-1 แต่เขาก็สามารถลงไปทำประตูชัยให้กับทีมในช่วงทดเวลาทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะไปด้วยสกอร์ 2-1
ในช่วงฤดูกาลต่อๆ มา โซลชา ก็ยังคงลงสนามเป็นตัวสำรองให้กับทีมต้นสังกัดอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะสามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เขาก็ยังไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามเป็นตัวจริง ซึ่ง
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยให้เหตุผลว่า โซลชา เป็นนักเตะที่สามารถอ่านเกมคู่แข่งได้อย่างแม่นยำ และเขาจะรู้ว่าจะต้องเล่นในเกมนี้อย่างไร และโซลชา จะสามารถลงไปเปลี่ยนเกมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อยู่เสมอ ซึ่งเขามองว่าการที่เขาปล่อยให้ โซลชา นั่งดูรูปเกมอยู่ข้างสนามก่อนที่จะลงสนามไปนั้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า
และเกมประวัติศาสตร์ที่เป็นที่จดจำของแฟนบอลก็คือ ในเกมนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 1998-1999 ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถสร้างผลงานประวัติศาสตร์ด้วยการทำ 2 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จนสามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้สำเร็จ ซึ่งในเกมนั้น โซลชา ที่ถูกส่งเป็นตัวสำรอง ก็เป็นคนทำประตูชัยในนาทีสุดท้าย
ในปี 2003 โซลชา มีปัญหาบาดเจ็บที่เข่า หลังจากทำประตูในเกมที่พบกับ พานาธิไนกอส ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และจะต้องเข้ารับการผ่าตัด และพักยาว 5 เดือน โซลชา สามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2004 ซึ่งเขาก็ยังลงสนามเป็นตัวสำรองอยู่
ในปี 2004 โซลชา ต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่าอีกครั้ง ทำให้ในฤดูกาล 2004-2005 โซลชา พลาดโอกาสลงสนามไป และในช่วงนี้เขาต้องพักรักษาตัว ก็ยังมีกำลังใจของแฟนบอลนำข้อความว่า “20LEGEND” หมายถึง โอเล่ ตำนานหมายเลข 20 มาติดไว้ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกด้วย
ในฤดูกาล 2005-2006 เขากลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ลงสนามมากนัก ในฤดูกาล 2006-2007 โซลชา ในวัย 33 ปี กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง โดยเขาประตูไปทั้งหมด 11 ประตูจากการลงสนาม 32 นัดในทุกรายการ และในปี 2007 โซลชาก็ประกาศแขวนสตั๊ดปิดฉากการค้าแข้งของเขา ด้วยวัย 34 ปี หลังจากที่เขาช่วยทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 6 โดยสถิติการลงสนามให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งหมด 365 นัด ทำไป 127 ประตู
ส่วนผลงานในทีมชาตินอร์เวย์ โซลชา ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1995 และสามารถทำประตูแรกให้กับทีมชาติได้ในทันทีในเกมที่พบกับ ทีมชาติจาไมก้า หลังจากนั้น โซลชา ก็มีรายชื่อติดในทีมชาติชุดใหญ่ของนอร์เวย์ จนถึงปี 2007
เส้นทางการเป็นผู้จัดการทีม
โซลชา เริ่มอาชีพการเป็นผู้จัดการทีมหลังจากที่ได้ประกาศแขวนสตั๊ด โดยการเริ่มจากการเป็น โค้ชกองหน้า ในกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2007-2008 ก่อนที่ในฤดูกาล 2008-2009 เขาจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชุดอายุไม่เกิด 23 ปี ซึ่งโซลชา ก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้อย่างมากมาย
ในปี 2011 โซลชา ได้รับแต่งตั้งในคุมทีมชุดใหญ่ของโมลด์ ต้นสังกัดเก่าของเขาในบ้านเกิด และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของนอร์เวย์ได้ถึง 2 สมัย และแชมป์นอร์เวย์ คัพ อีก 1 สมัย
ปี 2014 โซลชา ตอบรับไปคุมทีม คาร์ดิฟ ซิตี้ ซึ่งเล่นในพรีเมียร์ในขณะนั้น พร้อมกับภาระอันหนักหน่วงด้วยการต้องพาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาล 2013-2014 แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถทำได้ และหลังจากนั้น เขาก็ทำผลงานได้ไม่ดี จนถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมในเดือนกันยายน 2014
ในเดือนตุลาคม 2015 เขาได้กลับไปเป็นผู้จัดการทีมให้กับโมลด์อีกครั้ง และพาทีมจบอยู่ที่อันดับ 6 และในปี 2016 พาทีมจบอยู่ที่อันดับ 5 และในปี 2017,2018 โซลชาสามารถพาทีมจบอยู่ที่รองแชมป์ได้ถึง 2 สมัย
ในปี 2018 โซลชา เข้ารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ และเขาก็สามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการคุมทีมชนะ 8 เกมติด และสามารถพาทีมเข้า 8 ทีมสุดท้ายในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีดไปได้
ฤดูกาล 2019-2020 เขาทำผลงานได้ไม่ดีมากนัก ในช่วงแรก จนในช่วงปลายฤดูกาล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถกลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ของตาราง
ฤดูกาล 2020-2021 โซลชา ยังคงคุมทีมให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่อไป ท่ามกลางกระแสข่าวออกมาอย่างมากมาย หลังจากที่เขาทำผลงานการคุมทีมได้ไม่ดีมากนัก
ฤดูกาล 2021-2022 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงทำผลงานได้ไม่ดี จนในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2021 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาประกาศสิ้นสุดการทำงานของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในตำแหน่งผู้จัดการทีม และแต่งตั้ง ราล์ฟ รังนิก ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว